วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขออภัยสัมปทานไทยไม่เหมือนในโฆษณา...อีกแล้วครับ


      ได้มีกลุ่มบุคคลได้ให้ข้อมมูลต่อผู้มีอำนาจว่า ระบบสัมปทานมีข้อดี คือ รัฐไม่ต้องรับความเสี่ยงหากสำรวจไม่พบปิโตรเลียม เรื่องนี้เป็นความจริง หรือไม่?

ดูแบบแสดงการเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภงป.70




ชี้ชัดว่าเอกชนสามารถเอาค่าใช้จ่ายในการสำรวจแปลงปิโตรเลียมใหม่ มาหักออกจากกำไรในแปลงปิโตรเลียมที่มีอยู่เดิมได้ จึงเท่ากับรัฐได้ช่วยออกค่าสำรวจให้เอกชน รัฐจึงเป็นผู้รับความเสี่ยง ข้อย้ำอีกทีว่ารัฐเป็นผู้รับความเสี่ยงครับ

ข้อสังเกตุ
1.ในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ ต้องคิดค่าใช้จ่ายแยกแปลง การนำค่าใช้จ่ายแปลงสัมปทานหนึ่งไปหักจากรายได้อีกแปลงทำไม่ได้ แต่ไทยกลับอนุญาติ จึงทำให้รัฐเสียประโยชน์เนื่องจากได้ภาษีปิโตรเลียมน้อยลง และรัฐกลายเป็นผู้รับความเสี่ยงเสียเอง



      2.ระบบนี้แสดงความไม่เป็นกลางต่อเอกชน เพราะผู้รับสัมปทานรายเก่าที่มีกำไรสามารถถ่ายเทกำไรด้วยการผลักค่าสำรวจใน แปลงใหม่ให้รัฐผ่านการคำนวนภาษีวิธีนี้ แต่ผู้รับสัมปทานรายใหม่ที่เพิ่งรับสัมปทานครั้งแรกจะไม่มีฐานรายได้อยู่ จึงไม่สามรถผลักภาระนี้ให้รัฐได้ จึงเป็นระบบที่ไม่เป็นธรรมและไม่เป็นกลางต่อประเทศและต่อเอกชนรายใหม่ๆ

























สรุปว่าสัมปทานไทยรัฐเป็นผู้รับความเสี่ยง แต่เอกชนเอาน้ำมันไปและก๊าซไปทั้งหมด (ไม่เหมือนของอังกฤษที่เอกชนเป็นผู้รับความเสี่ยงจริงๆ)

ถึงเวลาปฏิรูปสัมปทานไทยแล้ว หรือ ยัง?

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ฝรั่งรู้ได้อย่างไรว่าใต้แผ่นดินไทยมีก๊าซมีน้ำมัน?


      ในคลิปนี้ ฝรั่งเล่าว่า "หลักการเหมือนกับการการทำ "อัลตร้าซาวน์" เพื่อดูทารกในท้องแม่นั่นแหละครับ"

แต่บ่อน้ำมันและก๊าซอยู่ในแม่พระธรณี เราก็ต้องมีเครื่องที่ส่งเสียงลงไปให้สะท้อนกลับมาเป็นภาพบ่อก๊าซและบ่อน้ำมันนั่นเอง



     จากนั้นจึงเอาข้อมูลที่ได้มาใส่ในคอมพิวเตอร์ช่วยแปลผล รัฐที่ดีก็ต้องจัดทำหรือจัดหาข้อมูลเหล่านี้ เพื่อวางนโยบายการจัดการทรัพยากรที่เหมาะสม และลดความเสี่ยงให้เอกชนในการเจาะหาได้มาก



      คงมีคนถามว่าทำไมรัฐต้องทำ? เหตุเพราะเมื่อเอกชนมีข้อมูลมาก มีความมั่นใจมาก มีความเสี่ยงต่ำลง ย่อมเข้ามาแข่งขันลงทุนในไทยมาก ก็ย่อมให้ผลตอบแทนต่อรัฐสูงขึ้นนั่นเอง หากรัฐไม่มีข้อมูล(เช่นระบบสัมปทานไทย)ก็จะวางนโยบายได้ยาก เอกชนมีความเสี่ยงสูง รายใหม่ไม่อยากมาลงทุน หากพบปิโตรเลียมรัฐจึงอาจไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย



เรื่องพลังงานไม่ใช่ไสยศาสตร์ แบบที่จะจุดธูปอธิษฐานแล้วก็เจาะเอามั่วมั่วเพื่อได้น้ำมัน อย่างทีเขาพยายามให้เข้าใจกันในสื่อ แต่การค้นหาปิโตรเลียมเป็นวิทยาศาสตร์ที่มีการประเมินความเสี่ยงและโอกาสค้น พบอย่างรอบคอบครับ

ดังนั้น หาความรู้เพิ่มเติมกันเพื่อปฏิรูปพลังงานด้วยมือประชาชนครับ


     


วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สุวรรณภูมิ หรือ แผ่นดินทอง คือ นามของแผ่นดินไทย


รูปภาพ : สุวรรณภูมิ หรือ แผ่นดินทอง คือ นามของแผ่นดินไทยนี้ ที่มีมาแต่โบราญกาล แต่เหตุใดคนไทยส่วนใหญ่จึงยังยากไร้ ปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงชีวิตด้วยความยากลำบาก

ขณะเดียวกันกลับมีต่างชาติเข้ามาลงทุนขุดเจาะทรัพยากรและสร้างผลกำไรให้แก่องค์กรอย่างงาม ตั้งแต่มีการค้นพบครั้งแรกในปี 2461 หรือเกือบ 100 ปี ประเทศไทยมีการขุดเจาะปิโตรเลียมได้เพิ่มขึ้นทุกปี มูค่ากว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจนเช่นเดิม

มักมีคำพูดแก้ต่างเสมอว่า ก็เราขุดมาไม่พอใช้ เราจึงไม่รวย พูดราวกับว่าปิโตรเลียมที่ขุดได้ ประชาชนเอาไปใช้กันฟรีๆ ซึ่งไม่เป็นความจริง 

เพราะกฎหมายกำหนดว่า ให้ขายปิโตรเลียมที่ขุดได้ให้คนไทยในราคาเทียบเท่าราคานำเข้าจากตลาดโลก จึงเกิดคำถามว่า สัมปทานปิโตรเลียมไทย ใครคือผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

จากสถานการณ์วันนี้ ผมเห็นว่า ประชาชนคงต้องทำให้ทรัพย์ของแผ่นดิน กลายเป็นความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนทั้งชาติด้วยสองมือของตนเอง แม้มันจะยากแต่ก็ต้องทำ เพื่ออนาคตของลูกหลานไทย

ดั่งพระมหาชนกทรงตรัสว่า "ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึง ฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง" ขอพี่น้องไทยยึดมั่นในวิริยะ เพื่อนำทรัพยากรที่บรรพชนมอบให้แก่ปวงชนชาวไทยมาทำให้เกิดประโยชน์ เกิดความสุข และความเจริญที่ยั่งยืนของแผ่นดินครับ
      สุวรรณภูมิ หรือ แผ่นดินทอง คือ นามของแผ่นดินไทยนี้ ที่มีมาแต่โบราญกาล แต่เหตุใดคนไทยส่วนใหญ่จึงยังยากไร้ ปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงชีวิตด้วยความยากลำบาก

ขณะเดียวกันกลับมีต่างชาติเข้ามาลงทุนขุดเจาะทรัพยากรและสร้างผลกำไรให้แก่องค์กรอย่างงาม ตั้งแต่มีการค้นพบครั้งแรกในปี 2461 หรือเกือบ 100 ปี ประเทศไทยมีการขุดเจาะปิโตรเลียมได้เพิ่มขึ้นทุกปี มูค่ากว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจนเช่นเดิม

มักมีคำพูดแก้ต่างเสมอว่า ก็เราขุดมาไม่พอใช้ เราจึงไม่รวย พูดราวกับว่าปิโตรเลียมที่ขุดได้ ประชาชนเอาไปใช้กันฟรีๆ ซึ่งไม่เป็นความจริง

เพราะกฎหมายกำหนดว่า ให้ขายปิโตรเลียมที่ขุดได้ให้คนไทยในราคาเทียบเท่าราคานำเข้าจากตลาดโลก จึงเกิดคำถามว่า สัมปทานปิโตรเลียมไทย ใครคือผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง



จากสถานการณ์วันนี้ ผมเห็นว่า ประชาชนคงต้องทำให้ทรัพย์ของแผ่นดิน กลายเป็นความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนทั้งชาติด้วยสองมือของตนเอง แม้มันจะยากแต่ก็ต้องทำ เพื่ออนาคตของลูกหลานไทย

ดั่งพระมหาชนกทรงตรัสว่า "ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึง ฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง" ขอพี่น้องไทยยึดมั่นในวิริยะ เพื่อนำทรัพยากรที่บรรพชนมอบให้แก่ปวงชนชาวไทยมาทำให้เกิดประโยชน์ เกิดความสุข และความเจริญที่ยั่งยืนของแผ่นดินครับ

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศสละพระราชอำนาจ


Home
     พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จไปประทับที่ประเทศอังกฤษและทรงประกาศสละพระราชอำนาจ ดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า

“...ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมแก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร…”

เมื่ออ่านโดยพินิจพิจารณาแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง และทรงมองเห็นความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นในกาลต่อมาอย่างแน่นอน

จึงทรงมีพระราชหัตเลขาสละพระราชอำนาจด้วยถ้อยคำดังกล่าว นั่นคือ พระองค์ทรงสละพระราชอำนาจให้แก่ “ราษฎรโดยทั่วไป” ไม่ใช่ “ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ” ที่เป็นกลุ่มคนซึ่งได้อำนาจและใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียงราษฎร

บางช่วงบางตอนจากบทความนี้
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=459144
-----------------------------------------------

เมื่อผมได้อ่านพระราชหัถเลขาของรัชกาลที่ 7 ผมมักสลดหดหู่ใจอยู่เสมอ ว่าไม่มีผู้ใดในแผ่นดินเลยหรือ ที่จะตระหนักถึงสิ่งที่พระองค์ได้มีพระราชปณิธาน

เรื่องพลังงานเป็นตัวอย่างอันดี ที่ทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ทรัพยากรพลังงานไทย ของปวงชนชาวไทยหรือ ของใครกัน? เหตุใดพวกเขาจึงไม่ฟังเสียงของราษฎร?

http://www.thaipost.net/news/011214/99751

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 กับประชาชนภาคอีสาน


      อีสานคือพื้นที่หนึ่งพี่น้องไทยยังยากจนอยู่มาก แต่อีสานก็ไม่ได้ยากไร้ซึ่งทรัพยากรของแผ่นดินที่บรรพชนมอบให้ หากมีการจัดการที่ถูกต้องก็จะสามารถพลิกฟื้นชีวิตคนอีสานได้

สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ครอบคลุมอีสานมากที่สุดถึง 16 จังหวัด เป็นพื้นกว่า 20 ล้านไร่ ดังนั้น ความรู้ความเข้าใจในสิทธิของคนอีสานในทรัพยากรใต้บ้านของตนจึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่ง



และวันนี้ สัมนาพลังงานเพื่อพี่น้องอีสานมาถึงแล้ว ด้วยกำลังกาย กำลังใจและความพยายามอย่างมาก ของบุคคลหลายหลายฝ่ายที่มองเห็นสิทธิของประชาชนคือสิ่งสำคัญ

พบกันในงานสัมนาด้านพลังงานเพื่อความปรองดองของพี่น้องไทย ที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดที่โดนสัมปทานค่อนจังหวัด เป็นพื้นที่กว่า 5 ล้านไร่

จึงขอพี่น้องมากันให้มากๆ มาเพื่อรู้จักสัมปทานรอบที่ 21กันอย่างเต็มที่



วันที่ 16 ธันวาคม 2557 เวลา 9.30 น เป็นต้นไป
โรงแรมสีมาธานีครับ

แชร์ให้พี่น้องอีสาน ได้ทราบด้วยครับ

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สาเหตุ หนึ่งของน้ำมันแพง


      สาเหตุ หนึ่งของน้ำมันแพงนอกจากปัญหากองทุนน้ำมันแล้ว ยังมีปัญหาราคาเอทานอล หรือ แอลกอฮอล์ ที่ผลิตในประเทศไทย แต่แพงกว่าในสหรัฐฯและบราซิล ที่ถือว่าเป็นตลาดโลกอีก ลิตรละ 10 บาท ทั้งที่ทำจากผลิตผลทางการเกษตร คือจากมันสำปะหลัง และกากน้ำตาล (ข้อมูลจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย)
ราคาที่แพงกว่าตลาดโลกนี้ ถ้าถึงมือเกษตรกรผู้ยากไร้ เราคนไทยก็คงไม่บ่นอะไร แต่ถ้าไปตกอยู่กับนายทุนที่ร่ำรวยก็คงจะไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค


หรือแม้แต่ เกษตรกร สาเหตุหนึ่งที่ต้องปฏิรูปพลังงานให้มีความโปร่งใส เพราะพลังงานเป็นต้นทุนของทุกอย่างในชีวิตคนไทย ต้นทุนของโรงเรียน ต้นทุนของโรงพยาบาล ต้นทุนของทุกธุรกิจไทย ดังนั้น ราคาพลังงานจึงตัดสินอนาคตของชาติ และคุณภาพชีวิตของคนไทย
คนไทยไม่ได้ต้องการราคาพลังงานถูกๆแบบประชานิยม เพียงแต่ต้องการราคาพลังงานที่โปร่งใสเป็นธรรมเท่านั้น
จากข้อมูลสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ไทยมีการผลิตน้ำมันแก๊ซโซฮอลวันละ 12.7 ล้านลิตร หรือปีละ 4.6 พันล้านลิตร แก๊ซโซฮอล E10 จะผสมเอทานอล 10 % คนไทยจึงจ่ายค่าเอทานอลสูงกว่าตลาดโลกประมาณ 4.6 พันล้านบาท เงินหล่านี้ถึงมือเกษตรกรหรือไม่ นี่คือสิ่งที่น่าหาคำตอบครับ

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องใหญ่กว่าสัมปทานรอบที่ 21


รูปภาพ : เรื่องใหญ่กว่าสัมปทานรอบที่ 21 คือ การจัดการกับสัมปทานยังมีก๊าซและน้ำมันแต่อายุสัมปทานหมดลง สัมปทานชุดนี้ขุดมาเกือบ 50 ปี ก็ยังไม่หมด มีปิโตรเลียมคิดเป็นกว่า 60% ของปิโตรเลียมที่ผลิตได้ทั้งหมดของไทย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาทต่อปี หากจัดการได้ถูกต้องน่าจะนำมาแก้ปัญหาให้ประเทศได้มากทั้งเรื่องรายได้ของประเทศ และเรื่องราคาพลังงานครับ

ไปฟังความคิดเห็น จากเพจคุณธีระชัย ภูวนาถธรานุบาล อดีต รมต.คลัง 
ท่านกล่าวเรื่องการต่ออายุสัมปทานที่กำลังจะหมดอายุ ที่ต้องตกเป็นของแผ่นดิน 

แต่ผมขออนุญาติเอาชื่อบริษัทออกนะครับ ส่วนเบอร์ต่างนั้นคือ เบอร์แปลงสัมปทานครับ 
--------------------------------------------
ไม่ควรต่อสัญญา แปลงสัมปทานที่ไกล้หมดอายุรอบแรก

รูปนี้แสดงข้อมูลแปลงสัมปทานสองกลุ่ม ที่ไกล้จะครบสัญญา

ของบริษัท ...... เอราวัณ 10 11 12 และ 13 จะครบปี 2565

ของ ........ บงกช 15 16 17 จะครบปี 2566

ทั้งสองแหล่งมีก๊าซแน่นอน คิดเป็นร้อยละ 60 ของการผลิตก๊าซทั้งประเทศขณะนี้

ถามว่า ควรจะต่อสัญญาให้แก่ทั้งสองรายหรือไม่

ถ้าต่อ ก็โง่มากครับ โง่มาก

เพราะทั้งสองแหล่ง มีก๊าซอยู่แน่นอนแล้ว เอาแต่ดูดขึ้นมา ไม่ต้องเสี่ยงเจาะสำรวจกันอีก

กรณีอย่างนี้ ประเทศอื่นๆ เมื่อสัญญาหมดอายุ เขาจะเปลี่ยนไปใช้วิธีจ้างผลิตครับ

จะจ้างใคร ก็ควรเปิดประมูล ว่าใครจะยอมรับค่าจ้างต่ำที่สุด

วิธีนี้ จะทำให้ผลประโยชน์ ตกกับประเทศชาติ และประชาชนเต็มที่

ขอให้ประชาชนช่วยกันติดตามนะครับ

ถ้ามีข้าราชการผู้ใด เสนอให้ต่ออายุสัมปทาน ท่านตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนได้เลย

ข้าราชการผู้นั้น น่าจะเอื้ออำนวยประโยชน์แก่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง 
โดยมิชอบอย่างแน่นอน

https://www.facebook.com/thirachai.phuvanatnaranubala/photos/a.599359930097816.1073741824.183758988324581/869006263133180/?type=1&theater
      เรื่องใหญ่กว่าสัมปทานรอบที่ 21 คือ การจัดการกับสัมปทานยังมีก๊าซและน้ำมันแต่อายุสัมปทานหมดลง สัมปทานชุดนี้ขุดมาเกือบ 50 ปี ก็ยังไม่หมด มีปิโตรเลียมคิดเป็นกว่า 60% ของปิโตรเลียมที่ผลิตได้ทั้งหมดของไทย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาทต่อปี หากจัดการได้ถูกต้องน่าจะนำมาแก้ปัญหาให้ประเทศได้มากทั้งเรื่องรายได้ของประเทศ และเรื่องราคาพลังงานครับ

      ไปฟังความคิดเห็น จากเพจคุณธีระชัย ภูวนาถธรานุบาล อดีต รมต.คลัง 


      ท่านกล่าวเรื่องการต่ออายุสัมปทานที่กำลังจะหมดอายุ ที่ต้องตกเป็นของแผ่นดิน

      แต่ผมขออนุญาติเอาชื่อบริษัทออกนะครับ ส่วนเบอร์ต่างนั้นคือ เบอร์แปลงสัมปทานครับ
--------------------------------------------
ไม่ควรต่อสัญญา แปลงสัมปทานที่ไกล้หมดอายุรอบแรก

 

รูปนี้แสดงข้อมูลแปลงสัมปทานสองกลุ่ม ที่ไกล้จะครบสัญญาของบริษัท ...... เอราวัณ 10 11 12 และ 13 จะครบปี 2565 ของ ........ บงกช 15 16 17 จะครบปี 2566 ทั้งสองแหล่งมีก๊าซแน่นอน คิดเป็นร้อยละ 60 ของการผลิตก๊าซทั้งประเทศขณะนี้ ถามว่า ควรจะต่อสัญญาให้แก่ทั้งสองรายหรือไม่ ถ้าต่อ ก็โง่มากครับ โง่มาก เพราะทั้งสองแหล่ง มีก๊าซอยู่แน่นอนแล้ว เอาแต่ดูดขึ้นมา ไม่ต้องเสี่ยงเจาะสำรวจกันอีก กรณีอย่างนี้ ประเทศอื่นๆ เมื่อสัญญาหมดอายุ เขาจะเปลี่ยนไปใช้วิธีจ้างผลิตครับ จะจ้างใคร ก็ควรเปิดประมูล ว่าใครจะยอมรับค่าจ้างต่ำที่สุด วิธีนี้ จะทำให้ผลประโยชน์ ตกกับประเทศชาติ และประชาชนเต็มที่ ขอให้ประชาชนช่วยกันติดตามนะครับ ถ้ามีข้าราชการผู้ใด เสนอให้ต่ออายุสัมปทาน ท่านตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนได้เลย ข้าราชการผู้นั้น น่าจะเอื้ออำนวยประโยชน์แก่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง
โดยมิชอบอย่างแน่นอน

https://www.facebook.com/thirachai.phuvanatnaranubala/photos/a.599359930097816.1073741824.183758988324581/869006263133180/?type=1&theater