วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

“Garbage In Garbage Out” เมื่อข้อมูลที่ป้อนเข้าคือ ขยะ ผลที่ได้ย่อมเป็นขยะ


      ศัพท์คำนี้เป็นที่คุ้นเคยในวงการบริหาร ว่าถ้าข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์มาแบบอ้างลอยๆไม่มีที่มาที่ไป หรือ การให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ผลที่ได้ย่อมไม่มีประโยชน์



     
ในวงการราชการจะ รู้ดีว่าเวลาจะทำอะไรสักอย่างให้ดูว่า การตัดสินใจน่าเชื่อถือ ก็ใช้ที่ปรึกษาฝรั่งทำประทับตราเสียหน่อยทำกันเพียงไม่กี่วันผลก็ออกมา ได้(เหลือเชื่อจริงๆ) เพราะคนไทยบางคนเชื่อฝรั่งและกลัวฝรั่ง

ทำแค่นี้ก็ใช้ได้เสนอผู้ใหญ่ได้ ผลออกมาผิดพลาดยังไงโยนให้ฝรั่งไปเลย ถึงวันนั้นคนที่ทำก็ไม่อยู่แล้ว

ไม่กี่วันมานี้ ได้มีการว่าจ้าง บริษัทที่ปรึกษาจากต่างประเทศเพื่อพูดว่าสัมปทานไทยดีที่สุด

บ.ที่ปรึกษา กล่าวว่า จากสถิติพบว่าแหล่งปิโตรเลียมของไทยมีขนาดเล็กเมื่อเปรียบเทียบแหล่ง ปิโตรเลียมของประเทศอื่นๆ ในอาเซียนโดยเฉพาะมาเลเซีย และอินโดนีเซียที่ใหญ่กว่า



ไทยถึง 8 เท่า ขณะที่ปริมาณสำรองปิโตรเลียมไทยก็น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านถึง 10 เท่า


ข้อสังเกตุ
1) ประเทศในอาเซียนมีแหล่งทั้งใหญ่กว่าและเล็กกว่าของไทยเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตได้ทั้งหมด การที่สรุปว่าแหล่งไทยเล็กที่สุดในอาเซี่ยนนั้น ตรงข้ามกับปริมาณการผลิตของไทยที่เป็นอันดับ 3 ของอาเซียนในขณะนี้

2) ปริมาณสำรองของไทยเป็นของเอกชนเพียงประเทศเดียวในอาเซียน ตัวเลขจึงมาจากเอกชนทั้งหมด การนับอายุปริมาณสำรองจะนับเฉพาะที่อยู่ในสัญญาสัมปทานเท่านั้น เช่น มีปิโตรเลียมขุดได้ 20 ปี แต่สัมปทานจะหมดใน 7 ปี ปริมาณสำรองก็เหลือ 7 ปีเท่านั้น ไม่ใช่ 20 ปี

บ.ที่ปรึกษา กล่าวว่า ส่วนแบ่งผลประโยชน์ของรัฐที่ไทยได้รับอยู่ที่ 67%

ข้อสังเกตุ
อ.พลายพล ทรัพย์คุ้ม (สปช.พลังงาน) กล่าวกับสื่อว่า ระบบสัมปทานของไทยนั้นได้รับผลประโยชน์ถึง 78% (ในสื่อไม่กี่วันก่อนหน้า)
ถึงตรงนี้ต้องถามว่าใครมั่ว? ฝรั่งกับ สปช.ยังพูดไม่ตรงกัน สังคายนา ข้อมูลก่อนดีกว่าไม๊ครับ สัมบัติของชาติมูลค่ามหาศาลควรต้องทำด้วยความรอบคอบ

ผมสรุปว่าไม่มีใครรู้จริงๆ เพราะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลรายรับรายจ่ายเป็นรายแปลงสัมปทาน ปิดลับหมด(นี่คอเหตุผลหนึ่งที่ต้องปฏิรูป)

บ.ที่ปรึกษา กล่าวว่า PSC เหมาะสำหรับประเทศที่มีศักยภาพและความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งปิโตรเลียมที่มี มากกว่าการใช้ภายในประเทศจนต้องส่งออก

ข้อสังเกตุ
อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ พม่า และ เขมร ผลิตน้ำมันไม่พอใช้ในประเทศต้องนำเข้าน้ำมันดิบกันทั้งนั้น ประเทศเหล่านี้ใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตทั้งหมด เมื่อขุดปิโตรเลียมได้รัฐก็จะได้ปิโตรเลียมมาฟรีไม่ต้องซื้อ ตอบโจทย์การขาดแคลนได้ดี ไม่โง่เขลายกทรัพยากรให้เอกชนไปทั้งหมดแล้วประเทศก็ต้องซื้อกลับมาในราคานำ เข้า

ที่สำคัญระบบแบ่งปันผลิตเป็นเพียงระบบจัดการหนึ่ง มิได้ขีดขั้นว่าน้ำมันบ่อใหญ่ต้องใช้ระบบแบ่งปันผลิต น้ำมันบ่อเล็กต้องใช้สัมปทาน เพราะถ้าจริงอาเซียนทุกประเทศต้องใช้ 2 ระบบ เพราะอาเซียนก็มีบ่อเล็กๆที่เรียกว่า Marginal Field กันทั้งนั้นครับ

สุดท้ายนี้ ขอเรียนทาง ที่ปรึกษา ด้วยความเคารพว่า หากท่านกล่าวเช่นนี้จริงๆตามข่าว ก็ควรนำงานวิจัยระดับโลกมาให้ดูเลยว่า ระบบแบ่งปันผลผลิตต้องใช้กับประเทศที่ผลิตน้ำมันเหลือแล้วส่งออกจึงใช้ได้

ขอย้ำอีกทีว่า
สิ่งที่ประชาชนเรียกร้องคือความโปร่งใสในการจัดการครับ ไม่ใช่เรียกร้องผลประโยชน์จากเอกชนสูงๆแบบไม่มีเหตุผล แต่ต้องการระบบประมูลผลประโยชน์ตอบแทนของรัฐ โดยรัฐจะต้องทำการสำรวจเสียก่อนเพื่อจะได้รู้ว่าเรามีปิโตรเลียมมากน้อย เพียงจะได้จัดการได้ถูกต้องและช่วยลดความเสี่ยงให้กับทุกฝ่าย เอกชนก็จะมั่นใจ

หมายเหตุ ในอาเซียนเวลาจ้างเอกชนศึกษาว่ามีปิโตรเลียมเท่าไร จะจัดการอย่างไรนั้น เขาจะทำกันเป็นปี มีการลงไปพื้นที่จริงเก็บข้อมูลเอง แต่ของไทยนี้ มีข้อมูลให้ที่ปรึกษาเรียบร้อย ที่ปรึกษาก็เขียนได้ทันทีไม่ต้องลงพืนที่เก็บข้อมูลให้เสียเวลา

สรุปได้ว่า“สัมปทานไทยดีที่สุดในโลก” จึงต้องถามว่า
งานนี้ “Garbage In Garbage Out” หรือเปล่า?
เป็นการใช้เงินภาษีที่คุ้มหรือไม่? เพื่อประชาชนหรือเพื่อใคร?

http://www.manager.co.th/ibizchannel/viewnews.aspx?NewsID=9570000125528

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น